นโยบายด้านแรงงานของ2พรรคใหญ่ที่จะนำมาสู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้แข่งขันกันดุเดือด
พรรคเพื่อไทยเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำให้ที่ 300 บาทและปริญญาตรีจบใหม่เงินเดือนเริ่มต้นที่ 15,000 บาท ส่วนพรรคประชาธิปัตย์เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำให้อีกร้อยละ 25 ไปพร้อมกับการสานต่อนโยบายลดค่าครองชีพ หลังจากที่ 2 พรรคการเมืองใหญ่เปิดนโยบายเศรษฐกิจเพื่อใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 3 กรกฏาคมนี้ นโยบายที่ทั้ง 2 พรรค หวังจะซื้อใจประชาชนคนใช้แรง คือนโยบายการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำสำหรับผู้ใช้แรงงานและมนุษย์เงินเดือน
พรรคเพื่อไทย เสนอนโยบายเศรษฐกิจภายใต้สโลแกน "มองโลกและมองเรา" เน้นการทำการค้าขายกับต่างประเทศไปพร้อมกับการสร้างความแข็งแกร่งภายในประเทศ โดยเริ่มที่การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลแบบขั้นบันได จากร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 23 และให้เหลือร้อยละ 20 ภายในในปี 2556 เมื่อลดภาษีนิติบุคคลแล้ว ก็ต่อด้วยการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำให้ที่ 300บาทต่อวัน และเพิ่มเงินเดือนสำหรับผู้จบการศึกษาปริญญาตรีที่ 15,000 บาท ทั้งหมดนี้เมื่อทำไปพร้อมๆกันจะทำให้ฟันเฟืองเศรษฐกิจขับเคลื่อนไปได้อย่างดี นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในสมัยที่นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า จะยังไม่ลดหรือเพิ่มการจัดเก็บภาษีรายได้ของประชาชนทั่วไปที่เก็บร้อยละ 7 ของรายได้ ภายใต้หลักใหญ่ใจความสำคัญคือจะให้ไทยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญของโลกและจะนำพาคนไทยก้าวหน้าไปพร้อมกัน และเมื่อนำนโยบายด้านแรงงานมารวมกับนโยบายเศรษฐกิจอื่นๆ พรรคเพื่อไทยเชื่อว่าจะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยอยู่ที่ร้อยละ 5ได้ไม่ยาก
พรรคประชาธิปัตย์ มีนโยบายเศรษฐกิจ2ด้านเช่นกัน คือเศรษฐกิจในระดับชาวบ้านและเศรษฐกิจในระดับภาพรวมของประเทศ โดยนโยบายใหม่ๆ ด้านแรงงานที่ประชาธิปัตย์นำมาสู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้คือ เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำร้อยละ 25 และจ่ายค่าจ้างแรงงานตามจำนวนชิ้นงานที่ลูกจ้างผลิตได้ ซึ่งการเพิ่มค่าแรงนี้ทางพรรคได้หารือร่วมกับภาคีแรงงานทั้งส่วนที่เป็นนายจ้างและลูกจ้างมาแล้ว นอกจากนโยบายการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำแล้ว พรรคประชาธิปัตย์จะสานต่อนโยบายเดิมที่ช่วยลดภาระรายจ่ายของประชาชนด้วย ทั้งโครงการรถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชน,รถไฟฟรี และสวัสดิการอื่น ๆ จนกว่าภาวะเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวขึ้น ส่วนงบประมาณที่ใช้ในโครงการต่างๆไม่กำหนดแน่นอนเพราะแต่ละนโยบายใช้เวลาในการดำเนินการไม่เท่ากัน บางนโยบายใช้เวลา 2 ปี แต่บางนโยบายใช้เวลานานถึง 10ปี นอกจากนี้พรรคประชาธิปัตย์ยังให้สัญญาว่า จะไม่ทำให้คนไทยเป็นหนี้เพิ่มขึ้นจากการกู้สินเชื่อนอกระบบ เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนฉุดความเจริญของประชาชนที่เป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
นโยบายการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำที่ร้อยละ 25 เป็นหนึ่งในนโยบายเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ที่ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้ถึงร้อยละ 5-8 ได้ ซึ่งวันที่ 3 กรกฏาคม ประชาชนทั่วประเทศจะเป็นผู้ตัดสินว่า นโยบายด้านแรงงานของพรรคใดจะโดนใจกว่ากัน
พรรคประชาธิปัตย์ มีนโยบายเศรษฐกิจ2ด้านเช่นกัน คือเศรษฐกิจในระดับชาวบ้านและเศรษฐกิจในระดับภาพรวมของประเทศ โดยนโยบายใหม่ๆ ด้านแรงงานที่ประชาธิปัตย์นำมาสู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้คือ เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำร้อยละ 25 และจ่ายค่าจ้างแรงงานตามจำนวนชิ้นงานที่ลูกจ้างผลิตได้ ซึ่งการเพิ่มค่าแรงนี้ทางพรรคได้หารือร่วมกับภาคีแรงงานทั้งส่วนที่เป็นนายจ้างและลูกจ้างมาแล้ว นอกจากนโยบายการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำแล้ว พรรคประชาธิปัตย์จะสานต่อนโยบายเดิมที่ช่วยลดภาระรายจ่ายของประชาชนด้วย ทั้งโครงการรถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชน,รถไฟฟรี และสวัสดิการอื่น ๆ จนกว่าภาวะเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวขึ้น ส่วนงบประมาณที่ใช้ในโครงการต่างๆไม่กำหนดแน่นอนเพราะแต่ละนโยบายใช้เวลาในการดำเนินการไม่เท่ากัน บางนโยบายใช้เวลา 2 ปี แต่บางนโยบายใช้เวลานานถึง 10ปี นอกจากนี้พรรคประชาธิปัตย์ยังให้สัญญาว่า จะไม่ทำให้คนไทยเป็นหนี้เพิ่มขึ้นจากการกู้สินเชื่อนอกระบบ เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนฉุดความเจริญของประชาชนที่เป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
นโยบายการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำที่ร้อยละ 25 เป็นหนึ่งในนโยบายเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ที่ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้ถึงร้อยละ 5-8 ได้ ซึ่งวันที่ 3 กรกฏาคม ประชาชนทั่วประเทศจะเป็นผู้ตัดสินว่า นโยบายด้านแรงงานของพรรคใดจะโดนใจกว่ากัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น